Breadcrumbs
Home ข่าวประชาสัมพันธ์ ►ขอเชิญชาวบางปู ร่วมถือศีล – กินเจ ประจำปี 2556►ขอเชิญชาวบางปู ร่วมถือศีล – กินเจ ประจำปี 2556
เขียนโดย audomsak
ข่าวประชาสัมพันธ์
"หนึ่งมื้อกินเจ หมื่นชีวิตรอดตาย"
เทศบาลตำบลบางปู ขอเชิญชวนประชาชนชาวบางปู ร่วมถือศีล – กินเจ ประจำปี 2556 ระหว่างวันที่ 4 -13 ตุลาคม 2556 ด้วยการรับประทานผัก ผลไม้ แทนเนื้อสัตว์ ละเว้นการบริโภคเนื้อ เพื่อชำระร่างกาย และจิตใจให้สะอาด ตลอดช่วงเทศกาลดังกล่าว
----------------------------------------------------------------------------------------------
ความหมายของคำว่า “เจ”
คำว่า “เจ” ในภาษาจีนมีความหมายทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่า “อุโบสถ” คำว่า “กินเจ” ตามความหมายที่แท้จริงคือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน ดังเช่นที่ชาวพุทธในประเทศไทยถือ “อุโบสถศีล” หรือ “รักษาศีล ๘” จะไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว
แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธฝ่ายมหายานไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมเรียก “การไม่กินเนื้อสัตว์” ไปรวมกับคำว่า “กินเจ” ซึ่งเป็นการถือศีลไปด้วย ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง ๓ มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า “กินเจ” ฉะนั้นความหมายก็คือ “คนกินเจ” มิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่คนที่กินเจยังตืองดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์สะอาด งดงามทั้งกาย วาจา ใจ เป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกัน เช่นนี้แล้วจึงจะเรียกว่า “กินเจที่แท้จริง”
ดังนั้น คำคล้องจองที่เราได้ยินอยู่เสมอ คือ “ถือศีล กินเจ” จึงนับว่ามีความหมายสมบูรณ์ครบถ้วนอยู่ในตัวเองแล้ว
ตามร้านขาย “อาหารเจ” เราพบเห็นตัวอักษรภาษาจีนที่อ่านว่า "ไจ" (เจ) แปลว่า “ไม่มีของคาว” เขียนด้วยสีแดงบนพื้นสีเหลืองเสมอ ในช่วงเทศกาลกินเจเดือน ๙ จะเห็นตัวอักษรนี้เขียนบนธงสีเหลือง ปักอยู่ตามแผงขายอาหารเจมองเห็นเป็นที่สะดุดตาแก่คนทั่วไป
ชาวจีนถือว่าสีแดงเป็นสีแห่งสิริมงคลแก่ชีวิต สีเหลืองเป็นสีของผู้ทรงศีล ดังนั้นผู้ตั้งใจถือศีลบำเพ็ญตนให้บริสุทธิ์ ตัวอักษรนี้ย่อมเป็นเครื่องหมายเตือนสติให้ระลึกไว้เสมอว่า “การกินเจงดเว้นเนื้อสัตว์ของคาว คือ การปฏิบัติธรรมรักษาศีลของความเป็นมนุษย์ เป็นการเจริญมหาเมตตากรุณาธรรมโดยแท้ อันจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและก่อให้เกิดสันติสุขแก่ทุกชีวิตบนโลก”
รู้และเข้าใจในการกินเจอย่างถูกต้อง
ตั้งแต่โบราณกาลนับเป็นพัน ๆ ปีจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ไม่ว่าโลกจะผันแปรไปในทิศทางใดก็ตาม คนจำนวนหลายพันหลายหมื่นครอบครัวที่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการรับประทานแต่อาหารเจสืบทอดจากบรรพบุรุษก็ยังมีอยู่ให้พบเห็นได้ในทุกวันนี้
“อาหารเจ” เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากพืชผักธรรมชาติล้วน ๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปะ และที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วยผักฉุนทั้ง ๕ ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุ้ยฉ่าย ใบยาสูบ บรรพชนในแต่ละครัวเรือนของคนกินเจได้ถ่ายทอดหลักของการกินเจที่ถูกต้อง และศิลปะในการปรุงไว้ให้แก่ลูกหลานของตน สืบต่อเนื่องกันมาโดยไม่ขาดสาย
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าอาหารเจเป็นอาหารที่มีรสจืดชืดไม่อร่อย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดมาก ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสอาหารเจที่แท้จริงก็เป็นได้ อาหารเจมีรสชาดอร่อยกลมกล่อมต่างไปจากอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารเจไม่มีกลิ่นเหม็นคาวใด ๆ เลย อาหารเจบางอย่างคนทั่วไปที่ได้รับประทานแต่อาหารเนื้อจะไม่มีโอกาสได้รู้จักหรือลิ้มรสเลยในชีวิต เนื่องด้วยอาหารเหล่านั้นทำขึ้นรับประทานกันเฉพาะในบรรดากลุ่มของคนที่กินเจเท่านั้น
บางคนมักคิดเอาเองว่า หากรับประทานแต่อาหารเจจะทำให้เป็นโรคขาดอาหาร แต่ทางการแพทย์กลับยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นคนที่กินอาหารเนื้อหรือคนที่กินเจ ก็มีสิทธิ์เป็นโรคขาดอาหารได้เท่ากัน สาเหตุสำคัญของโรคขาดอาหารในคนทั้ง ๒ กลุ่มก็คือ การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก บริโภคอาหารไม่ครบ ๕ หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต แป้งและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ เป็นเหตุให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ไม่ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า โรคขาดอาหารไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกินเนื้อหรือกินเจ แต่ขึ้นอยู่กับนิสัยกินตามใจ เลือกกินแต่อาหารที่ตนชอบโดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์ที่จะได้จากการรับประทานอาหารนั้น ๆ
ในความเป็นจริงแล้ว คนที่กินเจอย่างถูกหลักจะรู้สึกว่าตนได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์มากกว่าคนที่บริโภคอาหารเนื้อเสียอีก ผู้ที่ทดลองรับประทานอาหารเจได้ระยะหนึ่งถึงกับกล่าวว่า “การรับประทานอาหารเจ ทำให้มีโอกาสได้กินพืชผักที่มีคุณประโยชน์มากมายหลายชนิด ซึ่งในระหว่างที่รับประทานอาหารเนื้อไม่เคยใส่ใจเลย”
คนกินเจรู้จักวิธีดัดแปลงแปรรูปธัญพืชในธรรมชาติให้ได้มาซึ่งโปรตีน เราจะพบเห็นผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากเมล็ดถั่วเหลืองมากมายหลายชนิด เช่น น้ำนมถั่วเหลือง (น้ำเต้าหู้) เต้าหู้ขาว เต้าหู้เหลือง เต้าเจี้ยว น้ำมันถั่วเหลือง ซีอิ๊ว ฟองเต้าหู้ ฯลฯ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งโปรตีนอันอุดมและมีคุณค่าสูงยิ่ง
ทุกวันนี้ไม่ว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่นิยมบริโภคแต่เนื้อสัตว์กันมากจนละเลยอาหารผักซึ่งมีคุณประโยชน์สูงไปอย่างน่าเสียดาย หลายคนมีนิสัยเลือกรับประทานเฉพาะเนื้อสัตย์และเขี่ยผักทิ้งไม่ยอมบริโภค นี่แหละเป็นสาเหตุสำคัญของโรคขาดสารอาหาร ทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารครบตามที่ต้องการ จะพบว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ทานผักน้อยหรือไม่ทานเลยมักป่วยเป็นโรคต่าง ๆ เช่นโรคขาดอาหาร ขาดวิตามิน โรคกระเพาะ โรคเกี่ยวกับลำไส้ และทางเดินอาหาร สุขภาพไม่แข็งแรง เซื่องซึม ไม่เฉลียวฉลาด ขาดปฏิภาณไหวพริบ สติปัญญาต่ำ พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจไม่สมบูรณ์
ประจักษ์พยานสำคัญที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความล้ำค่าของอาหารเจก็คือ บรรดาครอบครัวของผู้ที่กินเจตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษสืบต่อกันลงมาหลายชั่วคน ก็ยังคงมีให้เราพบเห็นอยู่จนทุกวันนี้ จากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งต่อเนื่องกัน หลักเกณฑ์ที่ถูกต้องและดีงามและทรงคุณค่า ก็ยังอยู่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลง ทุก ๆ คน ทุก ๆ ครอบครัวที่บริโภคแต่อาหารเจล้วนมีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคร้ายแรงเบียดเบียน และสามารถปฏิบัติภาระกิจการงานได้เป็นอย่างดี แม้แต่ทารกที่เกิดจากมารดาซึ่งกินเจอย่างถูกหลักก็ไม่พบว่าขาดสารอาหารแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเด็ก ๆ ทุกคนล้วนมีร่างกายแข็งแรงสุขภาพอนามัยดี ไม่เป็นโรคติดต่อใด ๆ ได้ง่าย มีภูมิต้านทานสูง จิตใจเบิกบาน ร่าเริงสดใส เฉลียวฉลาด ปฏิภาณไหวพริบ สติปัญญาดี
เพราะฉะนั้นคนเราถึงจะมีฐานะดีร่ำรวยมหาศาล แต่หากไม่รู้จักรับประทานอาหารให้ถูกต้องครบถ้วนก็เป็นโรคขาดสารอาหารได้พอ ๆ กับคนยากจนอดอยากที่ไม่มีจะกิน ไม่ว่าท่านจะกินเนื้อหรือกินเจ หากกินไม่ถูกต้องก็มีสิทธิ์เป็นโรคขาดอาหารได้เท่ากัน พึงตระหนักไว้อยู่เสมอว่า “ทรัพย์สินเงินทองซื้อสุขภาพไม่ได้ สุขภาพที่ดีขึ้นอยู่กับการรู้จักปฏิบัติตัวของท่านเอง”
ข้อควรปฏิบัติในการรับประทานอาหารเจ
๑. พืชผักและผลไม้ เป็นของคู่กันเสมอ นอกจากผักสด ๆ ที่นำมาปรุงเป็นอาหารแล้ว คนกินเจจำเป็นต้องรับประทานผลไม้สด ๆ หลังอาหารทุกมื้ออย่างสม่ำเสมอ การเลือกซื้อผักผลไม้เพื่อนำมาปรุงและ การบริโภคในแต่ละวัน ควรจัดให้ได้ครบตามสีของธาตุทั้ง ๕ ดังนี้
- สีแดง (แดง, ส้ม, แสด, ชมพู) สัญลักษณ์ ธาตุไฟ เช่น มะเขือเทศ, พริกสุก, หัวแครอท, มะละกอ, ส้ม, แตงโม ฯลฯ
- สีดำ (น้ำเงิน, ม่วง) สัญลักษณ์ ธาตุน้ำ เช่น มะเขือม่วง, เผือก, เห็ดหูหนู, ละมุด, ลูกหว้า, องุ่น ฯลฯ
- สีเหลือง (เหลืองแก่, เหลืองอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุดิน เช่น ฟักทอง, ข้าวโพด, พริกเหลือง, มะม่วง, กล้วย, ทุเรียน ฯลฯ
- สีเขียว (เขียวเข้ม, เขียวอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุไม้ เช่น ผักคะน้า, ถั่วฝักยาว, ผักบุ้ง, ฝรั่ง, ชมพู่, มะเฟือง ฯลฯ
- สีขาว (ขาวนวล, ขาวสะอาด) สัญลักษณ์ ธาตุทอง เช่น หัวผักกาดขาว, ผักกาดขาว, กระหล่ำดอก, มะพร้าว, น้อยหน่า ฯลฯ
ผักผลไม้ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงหรือเป็นประเภทหายาก เช่นพวกผักผลไม้เมืองหนาว ควรยึดหลักราคาถูก ประหยัด แต่มีคุณประโยชน์สูง จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้จัก ฉลาดกิน ฉลาดใช้ ประหยัดยอด ประโยชน์เยี่ยม
ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยผักผลไม้หลากหลาย ตลดปีเราสามารถเลือกหามาบริโภคได้ไม่ขาดแคลน จึงควรเลือกซื้อมาปรุงและบริโภคให้ครบทั้ง ๕ สี โดยสลับเปลี่ยนหมุนเวียนนำมาบริโภคในแต่ละวันโดยไม่ซ้ำกัน และไม่ควรเลือกทานแต่เฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใดที่ตนชอบ โดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์ หลาย ๆ ท่านเลือกรับประทานผักผลไม้เฉพาะอย่างเพื่อความอร่อยเท่านั้น เป็นการรับประทานอาหารเจที่ยังไม่ถูกหลัก
๒. เมล็ดธัญพืช นอกจากผักผลไม้ที่ต้องรับประทานให้ครบทุกสีเป็นประจำแล้ว เมล็ดธัญพืชได้แก่ ถั่ว ถั่วเปลือกแข็งทุกประเภท พืชที่เป็นหัวในดิน เช่น เผือก มัน กลอย มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยเฉพาะเมล็ดถั่วมีสารอาหารครบทุกหมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต คือแป้งและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่หลายชนิด คนที่กินเจควรรับประทานถั่วทั้ง ๕ สีเป็นประจำ ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว
ถั่วทั้ง ๕ สีนี้ ราคาไม่แพงมีอยู่แพร่หลาย บางทีก็ทำเป็นของหวานต่าง ๆ เช่น ถั่วดำบด ถั่วแดงต้มน้ำตาล ถั่วเหลืองน้ำกระทิ (เต้าส่วน) ถั่วเขียวต้มน้ำตาลกรวด ถั่วลิสงอบหรือเคลือบน้ำตาล ลูกเดือยบวด ถั่วขาวกวน ฯลฯ สำหรับถั่วขาวไม่ค่อยจะมีการปลูกแพร่หลายในประเทศไทย แต่ก็สามารถรับประทานถั่วลิสงซึ่งให้ประโยชน์ทดแทนกันได้
ทุกคนควรรับประทานถั่วดังกล่าวหมุนเวียนไปให้ครบทุกสีจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์และช่วยเสริมให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทำงานได้ดียิ่งขึ้น
เนื้อเมล็ดในของพืชผัก อันได้แก่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม มันฮ่อ นับเป็นของขบเคี้ยวที่คนกินเจรู้จักดี เนื้อในของเมล็ดพืชดังกล่าว เป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมายหลายชนิด ซึ่งทรงคุณค่าทางโภชนาการอย่างยิ่ง
๓. การได้รับประทานสาหร่ายทะเลทั้งสดและแห้ง พร้อมทั้งใช้เกลือทะเลมาปรุงลงในอาหาร ทั้ง ๒ อย่างนี้มีไอโอดีน ซึ่งจะสามารถป้องกันโรคคอพอกได้เป็นอย่างดี
๔. งาขาวและงาดำ ในอาหารและขนมคนกินเจควรใช้งาปรุงผสมด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงาขาวหรืองาดำเพราะในเมล็ดงามี กรดไขมันไลโนเลอิค (Linoleic Acid) ซึ่งจำเป็นต่อร่างกายมากแต่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้
สำหรับผู้ทำอาหารเจรับประทานเอง ให้นำงาขาวมาล้างเอาผงฝุ่นออกจนสะอาดดี ตักใส่ตะแกรงทิ้งไว้ให้หมาดแล้วใช้ไฟอ่อน ๆ คั่วในกระทะจนสุกเหลือง พอเย็นจึงนำมาโขลกหรือปั่นให้แตกด้วยเครื่อง จะทำให้ได้ประโยชน์จากน้ำมันที่อยู่ในเมล็ดดียิ่งขึ้น งาที่บดแล้วจะมีกลิ่นหอมสามารถนำมาใช้ปรุงอาหารและขนมได้ทุกประเภท ทำให้มีรสดี หอมน่ารับประทาน โดยปกติผู้ท่ากินเจควรรับประทานงาในปริมาณวันละ ๒ ช้อนโต๊ะ ก็นับว่าเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย
๕. ผู้ที่กินเจไม่ควรรับประทานอาหารรสจัดเกินไป เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด ขมจัด เปรี้ยวจัด หวานจัด รสชาติที่จัดมาก ๆ จะส่งผลไปถึงอวัยวะหลักดังนี้
- รสขม ส่งผลต่อ หัวใจ
- รสเค็ม ส่งผลต่อ ไต
- รสหวาน ส่งผลต่อ ม้าม
- รสเปรี้ยว ส่งผลต่อ ตับ
- รสเผ็ด ส่งผลต่อ ปอด
๖. หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหมักดอง เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง เครื่องกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป ควรหันมารับประทานอาหารสดที่ปรุงใหม่ ๆ จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายมากว่า
๗. เครื่องดื่ม ควรกินเจควรดื่มน้ำผลไม้สด ๆ ตามธรรมชาติ เช่น น้ำส้ม น้ำมะเขือเทศ น้ำสับปะรด น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำใบบัวบก น้ำมะตูม ฯลฯ น้ำผลไม้ดังกล่าวจะทำให้ร่างกายและผิวพรรณสดชื่นเปล่งปลั่ง เราควรงดน้ำหวานที่ปรุงแต่งรสและเจือสีสังเคราะห์เพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยจากสิ่งปลอมปน
นอกจากการดื่มน้ำผลไม้สด ๆ แล้ว ทุกคนต้องดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ ๘ แก้วเป็นประจำ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นหลักความรู้ในการปรุงและบริโภคอาหารเจ ซึ่งคนกินเจต้องยึดถือปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งพลานามัยที่สมบูรณ์ พร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ
คุณประโยชน์จากการรับประทานอาหารเจ
การรับประทานอาหารเจ ให้ผลต่อร่างกายดังนี้
๑. ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกได้หมด ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน สารอาหารที่มีคุณค่าในพืชผักสดผลไม้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ
๒. เมื่อรับประทานอาหารเจเป็นประจำ โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อย ๆ เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลง ทำให้อายุยืนยาวมีผิวพรรณสดชื่นผ่องใส นัยน์ตาแจ่มใส ไม่พร่ามัว ร่างกายแข็งแรง รู้สึกเบาสบาย ไม่อึดอัด มีสุขภาพพลานามัยดีมาก
๓. อวัยวะหลักสำคัญภายใน และอวัยวะประกอบทั้ง ๕ แข็งแรง ทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์มีสมรรถภาพสูง
อวัยวะหลักภายในทั้ง ๕ ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
อวัยวะประกอบทั้ง ๕ ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี
๔. ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่าง ๆ ได้สูงกว่าคนปกติธรรม สารพิษที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้แก่
ก. สารเคมี ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง สาร ดี.ดี.ที
ข. มลภาวะและก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม ไอเสียจากเครื่องจักร ฯลฯ ซึ่งแพร่กระจายปะปนไปในอากาศที่เราหายใจอยู่เป็นประจำและพบว่าปะปนอยู่ในแหล่งน้ำดื่มด้วย
ค. กัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์และในการทำสงคราม สารอาหารในพืชผักช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย สามารถทนทานต่อการทำลายจากรังสีต่าง ๆ
๕. ในบรรดาผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำ ความเจ็บไข้ได้ป่วยมักไม่มีปรากฎโดยเฉพาะโรคที่รุนแรงหรือเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคไต ไขข้ออักเสบ โรคเก๊าส์ โรคเบาหวาน ฯลฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่าย ย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร มะเร็งในกระเพาะอาหารและลำไส้ โรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อย โรคเหล่านี้จะไม่พบเลยในกลุ่มคนผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักผลไม้เป็นประจำ
การรับประทานอาหารเจ ให้ผลดีต่อจิตใจ ดังนี้
๑. จิตใจมีความสงบ เยือกเย็น สุขุม บังเกิดเมตตาจิตอย่างเต็มเปี่ยม อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่โกรธง่าย ซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้น ที่จะช่วยเกื้อกูลส่งเสริมให้สามารถบำเพ็ญบารมีธรรมก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป
๒. หยุดก่อหนี้บาป ตัดเวรกรรมที่ผูกพัน ทำให้ปราศจากศัตรู ทั้งมนุษย์และสัตว์ที่จะคิดมุ่งร้ายพยาบาทอาฆาตติดตามจองเวร
๓. ทำให้มีสติมั่นคง ทั้งในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่และยามที่จิตวิญญาณจะออกจากร่างไป ไม่เป็นคนหวั่นไหวตื่นตระหนกตกใจง่ายต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ สามารถรอดพ้นจากเพทภัยทั้งหลายได้แก่ ภัยจากธรรมชาติ ภัยจากสัตว์ร้าย ภัยจากเคราะห์กรรม
๔. ตนเอง ครอบครัว บุตรหลาน ตลอดจนถึงบริวารจะบังเกิดความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต มีเหตุให้ได้เกิดอยู่ในอารยประเทศอันอุดมสมบูรณ์ ชีวิตไม่ต้องตกอยู่ในท่ามกลางการรบฆ่าฟัน ไม่ประสบเหตุการณ์ที่โหดร้าย ทารุณ ฆ่าฟันประหัตประหารล้างผลาญ ย่ำยี ซึ่งกันและกัน
๕. บรรดาเหล่าเทพ พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงต่างสรรเสริญชื่นชม อำนวยอวยพร ให้การอารักขาคุ้มครองตลอดเวลา ไม่มีช่องทางให้วิญญาณต่ำทุกประเภท เข้ามาแอบแฝงแทรกสิงทำอันตรายใด ๆ ได้
ที่มา : http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/009933.htm
เทศบัญญัติ
การจัดซื้อจัดจ้าง
กองทุนหลักประกันสุขภาพ
บริการประชาชน
- ติดต่อกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน
- ร้านอาหารและที่พักในบางปู
- คำแนะนำการชำระภาษี
- เกมส์ออนไลน์ flash
- สินค้า OTOP
- จดหมายข่าวและรายงานกิจการ
- แบบฟอร์มต่างๆ
- ขั้นตอนติดต่อบริการต่างๆ
- แบบสอบถาม
- ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ AEC
- ดาวน์โหลด
- ข่าว@บางปูโพสต์
- กฏหมายที่เกี่ยวข้อง
- สถิติการให้บริการประชาชน
- คู่มือมาตรฐานการปฏิบัติงาน ทต.บางปู
- ฐานข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น
- สนามกีฬา และลานกีฬา
- แบบสำรวจความพึงพอใจ
- สรุปผลการสำรวจความพึงพอใจ ณ จุดบริการ
- คู่มือการปฏิบัติงานรับร้องเรียนการทุจริต